หางานหาดใหญ่ หาดใหญ่ ชัดทุกเรื่องเมืองหาดใหญ่ สงขลา อับเดตข่าวหาดใหญ่ Hatyaifocus สาวสวยหาดใหญ่ หนุ่มหล่อหาดใหญ่

เรื่องราวหาดใหญ่

"อาม่าหุ้ยหยง" ยอดหญิงคอมมิวนิสต์แห่งมลายา | นาทวี
31 กรกฎาคม 2560 | 22,827

ยิ่งค้นข้อมูลประวัติศาสตร์ ยิ่งพบว่าเรื่องราวบางเรื่องมีคุณค่าต่อปัจจุบัน โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ของคนตัวเล็ก ๆ เรื่องราวการต่อสู้ของบุคคลซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์แต่ดำเนินอยู่ในประวัติศาสตร์นั้น บ่ายวันหนึ่งมีโอกาสเดินทางพาดผ่านหุบเขา ออกห่างตึกสูง เมืองใหญ่สักพัก ออกมายัง เมืองนาทวี แสนมีเสน่ห์ ยังคงมีหุบเขา ป่าไม้สีเขียวปกคลุม พามารู้จักกับเรื่องราวของการต่อสู้ของ คอมมิวนิสต์มลายา

HatyaiFocus  เคยพาทุกคนไปชีวิตของชายที่ยังคงอยู่ในหุบเขา คุณลุงเหลียนเฉิน แซ่ตั้ง  หนึ่งในสหายพรรคคอมมิวนิสต์ แต่วันนี้เราพาทุกคนมาพบกับเรื่องราวของ "อาม่าหุ้ยหยง" ยอดหญิงคอมมิวนิสต์แห่งมลายา จากบทความเรื่องอาม่าหุ้ยหยงยอดหญิงพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา สู่คนสัญชาติไทย ผู้หญิงซึ่งเชื่อมประวัติศาสตร์ของสามชาติ ของอาจารย์พวงรัตน์ ปฐมสิริรักษ์

จุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้คงไม่ได้มีความหมายเพียงไปเพื่อถึง “ที่แห่งหนึ่ง” เราไปด้วยหลายเป้าหมาย แต่เป้าหมายหนึ่งที่เราต้องกำไว้แน่น ๆ คือ เราไปเพื่อเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของคนกลุ่มหนึ่งบนแผ่นดินไทย คือ กลุ่มพรรคคอมมิวนิสต์มลายา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกขานว่า โจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา เพียงเพราะว่าต้องอาศัยการปล้นเสบียงเพื่อยังชีพในการหนีภัยความตายจากอีกรัฐ พวกเขาก็คือผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จนท้ายที่สุดก็คือคนสัญชาติไทย กาลเวลาที่ล่วงเลยร่วม 70 ปี กำลังจะทำให้เรื่องราวของพวกเขากลายเป็นเพียงอดีต

          “อาม่าหุ้ยหยง” หญิงชราวัย 88 ปี

เราเริ่มต้นเรียนรู้ พรรคคอมมิวนิสต์มลายา ผ่านเรื่องราวการเกิดขึ้นของ อุโมงค์เขาน้ำค้าง หรือค่ายทหารใต้ดิน ซึ่งถูกขุดขึ้นเมื่อ 40 ปีก่อน โดยกรมทหารที่ 8 ของพรรคคอมมิวนิสต์มลายาร่วม 100 คน ซึ่งทุกท่านก็คงทราบดีว่าการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ก็เหมือนเดินย้อนเวลากลับไปคุยกับผู้คน สิ่งของ สถานที่ในตำนาน แต่ลองนึกดูว่ามันจะเป็นการย้อนเวลาที่วิเศษขนาดไหนหากเราได้เดินกลับไปพร้อมกับบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ที่เป็นผู้สร้างสรรค์ประวัติศาสตร์นั้นขึ้นมาเอง “อาม่าหุ้ยหยง คือ บุคคลนั้นสำหรับเรา”

“อาม่าหุ้ยหยง” หญิงชราวัย 88 ปีที่มีใบหน้าขาวหมดจรด ท่าทางใจดี และแววตาเป็นมิตร เธอช่างดูไม่เหมือนนักรบหญิงเอาเสียเลย สงครามหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะชนะ หรือแพ้ ไม่เคยทำลายแววตาที่มุ่งมั่นของอาม่าได้ เราพบกับ อาม่าหุ้ยหยง ที่บ้านหลังเล็ก ๆ บนเนิ่นเตี้ย ๆ ในเขาน้ำค้าง อาม่าพูดภาษาไทยได้แม้ไม่คล่องแคล่วนัก เราทักทายกันพอสมควรสำหรับการมาเยือนครั้งนี้

ทางเข้าอุโมงค์เขาน้ำค้าง ขุดด้วยฝีมือสหายคอมมิวนิสต์วันละ 200 คน

อาม่าเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของตนเอง ตามคำขอของพวกเรา...

อาม่าเป็นหญิงเชื้อสายจีน (จีนแคะ) ซึ่งเกิด ณ รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อ พ.ศ.2468) พ่อแม่คือคนจีนที่เดินทางมาจากมณฑลทางตอนใต้ของจีน ซึ่งน่าจะเป็นเมืองเหมยโจว ช่วง พ.ศ.2485 ซึ่งตามประวัติศาสตร์ คือ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นกำลังเคลื่อนพลเข้าไปยังประเทศต่าง ๆ แถบเอเชีย

อาม่าเล่าว่า ตอนนั้นญี่ปุ่นเข้ามาที่มาเลเซีย ฉันเลยลุกขึ้นมาสู้ด้วย ตอนนั้นฉันอายุ 17 ปี มีพวกนักศึกษาขึ้นมาต่อสู้” อุดมการณ์ของอาม่าหุ้ยหยงในวัย 17 ปี ทำให้พวกเราเริ่มเข้าใจถึงแนวคิดของคนเชื้อสายจีนในประเทศมาเลเซียที่ขึ้นมาสู้ โดยเฉพาะคำถามที่ดูเหมือนจะทำให้อาม่าเจ็บปวด แต่มันก็ไขปริศนาของประวัติศาสตร์

ช่วงเริ่มการต่อสู้อาม่าตอบว่า “ฉันสู้ก่อนจะมีพรรคคอมมิวนิสต์มลายา ตอนนั้นยังไม่มีการก่อตั้งพรรค สู้เพื่อประเทศมาเลเซียจากการยึดครองของญี่ปุ่น” อาม่าและนักศึกษาในช่วงนั้นไม่ได้สู้เพื่อคนกลุ่มหนึ่ง แต่กำลังสู้เพื่อเอกราชแผ่นดินเกิดของตนเอง “ตอนนั้นเราร่วมกับอังกฤษต่อสู้กับญี่ปุ่น”  ชีวิตของอาม่าและชาวมาเลเซียผ่อนคลายความตึงเครียดเมื่อสงครามโลกยุติลง ตามประวัติศาสตร์ก็คือช่วงราว ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) อาม่าเองมีลูกสาวที่เกิดในประเทศมาเลเซีย เมื่อ ค.ศ.1948

แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับชาวพรรคคอมมิวนิสต์มลายา พวกเขาต้องสู้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะเจ็บปวด และยาวนานแสนนาน เมื่อต้องสู้กับคนในชาติของตัวเอง

"เราร่วมกับอังกฤษต่อสู้ แต่พอญี่ปุ่นแพ้ไปแล้ว สุดท้ายพวกเขาไม่เอาเรา เราก็ต้องสู้กับอังกฤษ” อาม่าพูดประโยคนี้ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความทรงจำที่บีบคั้นสมัยนั้น “เราสู้ไม่ได้แล้ว ฉันจำได้ว่าต้องเข้ามาประเทศไทยเมื่อ ค.ศ.1954 (พ.ศ.2497)”  

         ภาพนี้เป็นภาพประกอบนะจ๊ะ

อาม่าคือทหารหญิงคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา เพราะเราทราบจากคำบอกเล่าว่า อาม่าคือทหารหญิงที่อยู่ในตำแหน่งรองเสนาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นระดับผู้บังคับบัญชาของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยมีจีนเป็งเป็นเลขาธิการผู้นำสูงสุด ตัวอาม่าเองคือหนึ่งในผู้บังคับบัญชาของกรม 8 ซึ่งเป็น 1 ในสามกรมของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา(พรรคคอมมิวนิสต์มลายาประกอบด้วย (กรม 8 กรม 10 และกรม 12) 

ประวัติศาสตร์ของอาม่าหุ้ยหยง ทำให้เราทราบว่า อาม่าคือผู้นำหญิงของจีน ที่ได้รับเลือกจากจีนเป็งและพรรคคอมมิวนิสต์ให้ไปร่ำเรียนในประเทศจีนเมื่อ พ.ศ.2501 ทั้งวิชาการปกครองและอื่น ๆ เฉกเช่นที่ผู้นำชายพึงเรียนในสมัยนั้น ดูเหมือนลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ไม่ได้กีดกันความเป็นชายหรือหญิงแต่อย่างใด อาม่าเป็นผู้นำหญิงเพียงคนเดียวที่ได้มีโอกาสเจอกับเหมาเจ๋อตุง ผู้นำสูงสุดของจีนในสมัยนั้น เพื่อหารือและวางแผนการให้ความช่วยเหลือกับคนเชื้อสายจีนในประเทศมาเลเซีย

“จีน เป็ง” อดีตเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) 

อาม่าหุ้ยหยง กลับเข้ามาประเทศไทยอีกครั้ง และร่วมกับทหารกรม 8 ซึ่งนำโดยอิเจียง ผู้บังคับบัญชาสูงสุดที่ตัดสินใจ วางยุทธศาสตร์ขุดอุโมงค์เขาน้ำค้างเพื่อการสู้รบและหลบหนีภัย รักษา 100 กว่าชีวิตของคนในพรรค  หลังเหตุการณ์สงบลง เมื่อมีการเจรจาสามฝ่าย ไทย มาเลเซีย พรรคคอมมิวนิสต์มลายา ค.ศ.1989(พ.ศ.2532) ประเทศไทยก็อนุญาตให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์มลายา หรือที่ถูกเรียกว่าโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา มีสถานะเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย สามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย

ผู้นำชายแห่ง "คอมมิวนิสต์มลายา"

ปัจจุบัน อาม่าได้รับการแปลงสัญชาติเป็นไทยตามมติคณะรัฐมนตรีของประเทศไทย และถือบัตรประจำตัวคนสัญชาติไทยเมื่อ พ.ศ.2549

อาม่าเล่าให้เราฟังเพิ่มเติมว่า นอกจากลูกสาวที่มีสัญชาติมาเลเซียและอยู่ในประเทศมาเลเซียนั้น อาม่ายังมีลูกชายที่เกิดในประเทศจีน ระหว่างที่อาม่าไปเรียนหนังสือ เมื่อ ค.ศ.1958 ซึ่งปัจจุบันเขาก็ถือสัญชาติจีน เราถามอาม่าด้วยความห่วงใยหลังทราบว่าอาม่าอยู่กับอากงเพียงลำพังในหมู่บ้านปิยะมิตรแห่งนี้ว่า

“อาม่าอยากกลับไปอยู่ประเทศจีนกับลูกชายไหม”

“ฉันไม่อยากไปอยู่  เมืองจีนหนาว แล้วฉันก็ไม่ผูกพัน”

“แล้วอาม่าไม่อยากกลับไปอยู่กับลูกสาวที่มาเลเซียหรือ ถ้ากลับไปได้อาม่าจะกลับไปไหม”

“ฉันกลับไปไม่ได้หรอก เขายังตามตัวพวกผู้นำอยู่ คนกลับไปอยู่ไม่ได้หรอก แล้วฉันชอบอยู่ที่นี่ ฉันอยากอยู่ประเทศไทย ที่นี่คือบ้านที่ยอมให้ฉันอยู่ ฉันมีความสุขและไม่อยากไปไหน”

เกือบ 40 ปีในชีวิตของการต่อสู้ของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่าง "อาม่าหุ้ยหยง" หนึ่งในผู้ที่นำซึ่งร่วมคิดร่วมวางแผนบนอุดมการณ์ที่จะรักษาเอกราชในชีวิตรอดของเพื่อนร่วมชาติ ก็คือตำราเล่มหนาแก่รุ่นลูกรุ่นหลาน ความทรงจำของอาม่ายังคงคมชัดและแม่นยำ ท่วงทำนองการเสวนา และประสบการณ์ของอาม่า แม้ว่าเราจะไม่ได้มีโอกาสคุยกันได้นานมากนัก มันก็ทำให้เราเชื่อได้ไม่ยากว่า

เธอผู้นี้คือ จุดเชื่อมกาลเวลาในประวัติศาสตร์ของสามชาติ มาเลเซีย ไทย จีนมาสู่ปัจจุบัน  

ทางเข้าอุโมงค์เขาน้ำค้าง ยังขจีไปด้วยป่าไม้ เช่นเดียวกับ 40 ปีที่แล้ว

เธอคือบุคคลสำคัญที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของพรรคคอมมิวนิสต์มลายามาสู่ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ซึ่งปัจจุบันก็คือประชากรกลุ่มหนึ่งทางใต้ของประเทศไทย ความเป็นมาเหล่านี้สะท้อนแนวคิดของรัฐไทยที่ชัดเจนในเรื่องการจัดการประชากรต่างด้าวเมื่อ 30 ปีก่อน ผ่านชีวิตของ อาม่าหุ้ยหยง

เพราะรัฐฯไทยไม่ยอมทอดทิ้งกลุ่มคนอย่างอาม่าหุ้ยหยงให้จมอยู่ในความตาย เราก็หวังว่าปัจจุบันและอนาคตจะได้เห็นรัฐฯไทยดูแลสันติสุขของคนในสถานการณ์เดียวกับอาม่าหุ้ยหยง จนได้หัวใจของพวกเขามา เหมือนอย่างครั้งนี้ และเราก็หวังว่ารัฐฯไทยจะได้ดูแลทุกข์สุขของอาม่าหุ้ยหยงและอากงที่แก่ชรา รวมถึงผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยคนอื่น ๆ ที่ยังคงมีปัญหาสถานะบุคคลตามกฎหมาย ให้สมกับความตั้งใจของประเทศไทยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน

วงเสวนาของอาจารย์ พวงรัตน์ ปฐมสิริรักษ์ และ นักกฎหมายของโครงการบางกอกคลินิกฯ

สุดท้าย ก่อนกล่าวลาอาม่า และบอกว่าเราจะกลับมาอีกครั้ง... พวกเราขออนุญาตอาม่าหุ้ยหยง บันทึกประวัติศาสตร์และความทรงจำของอาม่า พวกเราอยากบันทึกมันในหลายที่หลายภาษา พวกเราอยากมีนักเขียนมือดีที่จะมาบันทึกประวัติศาสตร์นี้ให้มีชีวิตอีกครั้ง  แต่อย่างน้อยเราก็จะขอบันทึกมันลงในวิทยานิพนธ์ที่มีชื่อว่า “อดีตคนหนีภัยความตายที่เข้ามาในประเทศไทย” อาม่าหันมาทางเราและที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของเราและพูดว่า “ฉันเคยคิดว่าถ้าฉันชนะ ฉันก็อยากจะเขียน”

“อาม่าชนะแล้ว อาม่าทำให้เด็กคนหนึ่งอยากเขียนเรื่องของอาม่า อาม่าชนะใจประเทศไทย ประเทศไทยยอมรับอาม่าและลูกหลาน อาม่าทำให้ลูกหลานมีชีวิตอยู่และพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป”

 

 

ขอบคุณผู้เขียน : อาจารย์พวงรัตน์ ปฐมสิริรักษ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดทำขณะทำงานเป็นนักกฎหมายของโครงการบางกอกคลินิกฯ

ขอบคุณภาพประกอบ psywar.org , nmbvaa.org.au , narongthai.com

เรียบเรียงใหม่ : HatyaiFocus

 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง