“ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัวเปนที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เปนกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพย์ไว้ให้บริสุทธิ” หากใครร่ำเรียนในรั้ว ม.อ. ต้องคุ้นเคยกับวลีนี้เป็นอย่างดี พระราโชวาทแห่งสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เป็นสิ่งที่ชาว ม.อ. ต่างน้อมนำเพื่อยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ
วันนี้ HatyaiFocus พาทุกคนมาร่วมรำลึกถึงพระราชบิดาและเรียนรู้ว่าทำไมต้องมีการจัดงาน ‘วันมหิดล’
หากย้อนไปเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว มีพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์หนึ่ง นามว่า ‘สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมขุนสงขลานครินทร์’ แม้ทรงมีฐานะเป็นถึงพระโอรสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เมื่อทรงพระเยาว์มีโอกาสเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ร่ำเรียนวิชาการหลากหลาย ทั้งประเทศอังกฤษ และเยอรมัน
สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ ทรงฉายพระฉายาลักษณ์ ร่วมกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
ด้วยเห็นถึงความสำคัญของชีวิตเพื่อนมนุษย์และพสกนิกรชาวไทย ทรงเห็นว่าการแพทย์และการสาธารณสุขจะเป็นประโยชน์ต่อพสกนิกรยิ่งกว่า สมเด็จพระบรมราชชนก จึงเสด็จไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อเริ่มศึกษาด้านการแพทย์ การเสด็จไปครั้งนั้นนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของวงการแพทย์ไทย
ขณะทรงศึกษาวิชาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ทรงให้สัมภาษณ์กับสื่อของสหรัฐฯ ว่า “แม้ว่าข้าพเจ้าอาจจะไม่มีโอกาสได้ขึ้นครองราชย์ แต่นั่นมิได้เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ากังวลใจ เพราะความมุ่งมั่นของข้าพเจ้านั้น คือ การดำรงชีวิตอยู่อย่างทรงคุณค่า ข้าพเจ้าอาจมีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบายอย่างสมพระเกียรติในฐานะพระอนุชาขององค์พระมหากษัตริย์ แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้ามิควรจะได้รับการยกย่องเพียงเพราะว่าข้าพเจ้าเป็นพระอนุชาของพระมหากษัตริย์เท่านั้น หากข้าพเข้าจะได้รับการยกย่องเชิดชู ข้าพเจ้าก็หวังว่าจะเป็นเพราะพระเกียรติของข้าพเจ้าเอง นั่นก็คือการอุทิศตน เพื่อทำประโยชน์ให้กับประชาชนและบ้านเมืองสยาม”
หลังจากทรงเรียนจบวิชาการแพทย์ และหวังจะทำหน้าที่แพทย์ ณ โรงพยาบาลศิริราช แต่ด้วยพระองค์ฐานันดรศักดิ์และพระราชประเพณีจึงไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ท่านจึงทรงย้ายไปปฏิบัติหน้าที่แพทย์ที่นอกพระนคร โดยปฏิบัติงานอยู่ที่โรงพยาบาลแมคคอมิค จ.เชียงใหม่ ทรงปฏิบัติพระองค์อย่างหมอทั่วไป เวลาจ่ายใบสั่งยา ก็ทรงลงพระปรมาภิไธยคล้ายสามัญชนว่า “มหิดลสงขลา”
ท่านทรงทุ่มเทพระวรกาย พระสติปัญญา ในฐานะแพทย์ที่มีน้ำพระทัยเปี่ยมล้นด้วยเมตตา รวมทั้งเป็นผู้หนึ่งที่วางรากฐานวงการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศิริราชให้เจริญก้าวหน้ามาถึงปัจจุบัน จึงได้มีการขนานนามพระองค์ว่าเป็น ‘พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย’
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จึงกำหนดให้วันที่ 24 กันยายนของทุกปีเป็น ‘วันมหิดล’ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันเสด็จทิวงคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กรมหลวงสงขลานครินทร์ ทุกปีจะจัดกิจกรรมวางพวงมาลาถวายสักการะพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระบรมราชชนก และวันประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง เป็นประจำทุกปี เพื่อเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
ขอบคุณรูป/ข้อมูล : psu.ac.th , VejthaniHospital
เขียนและเรียบเรียง : HatyaiFocus
ศาลเจ้าแม่กวนอิมสวนหมาก ศาลเจ้าแห่งแรกที่ริเริ่มทำโรงทานเจในสงขลา
20 เมษายน 2568 | 108พาชม...บ้านขุนตระการตะเครียะเขต บ้านเก่าโบราณนับร้อยปี "บ้าน 108 เสา"
30 มีนาคม 2568 | 709รู้หม้ายว่า? สงขลาเป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่มีวันประจำจังหวัด
30 มีนาคม 2568 | 528เปิดตำนานความเชื่อ พ่อปู่ภุชงค์-แม่ย่าทองคำ วัดโคกเปี้ยว สงขลา
30 มีนาคม 2568 | 419ศาลเจ้าพ่อทวดหมอน สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่ตำบลคูขุด อ.สทิงพระ
2 มีนาคม 2568 | 704เรื่องเล่าจากความทรงจำบ้านท่าแช สู่ตำบลคลองอู่ตะเภาในปัจจุบัน
2 มีนาคม 2568 | 633ความรู้คู่การเวลา...ศึกษาหนังสือบุดโบราณ ณ วัดยางทอง(สะเดา)
2 มีนาคม 2568 | 614