วันหยุดสุดสัปดาห์ เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ตื่นเช้ามาพร้อมเสียงโทรศัพท์จากเพื่อนสนิท บอกว่า "ไปเที่ยวตรังกันป่ะ จัดทริปให้เรียบร้อยแล้ว มาแต่ตัว กระเป๋าเสื้อผ้า แล้วก็เงินเป็นพอ" ไอ้เราก็เป็นคนว่านอนสอนง่ายแถมใจง่ายด้วย ใช้เวลา 15 นาที ในการเก็บข้าวของแล้วก็ตะลุยจากหาดใหญ่สู่เมืองตรัง
ในวันที่กรมอุตุฯ แจ้งเตือนทะเลฝั่งอันดามันมีฝนตก แต่พวกเราทั้ง 3 คนก็ไม่ย่อท้อ มุ่งไปตามที่ใจต้องการ แต่เป็นใจเพื่อนนะ เพราะเราเองยังไม่รู้เลยว่าเพื่อนวางทริปไว้ยังไงบ้าง แต่แอบหวังนิดหน่อยว่าเพื่อนคงพาล่องเรือ ดำน้ำ ดูปะการัง กินอาหารทะเลฟิน ๆ
ขับรถไปเรื่อย ๆ จนถึงจังหวัดพัทลุง ผ่านเขาพับผ้า เป็นจุดชมวิว หรือที่เรียกว่า Andaman Gateway (ประตูสู่อันดามัน) ทางจังหวัดตรังเนรมิตขึ้นอย่างสวยงามไว้รอรับนักท่องเที่ยว พวกเราทั้ง 3 คน จอดรถ แวะถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ บริเวณอันดามันเกตเวย์มีประวัติศาสตร์เขาพับผ้าให้เราอ่านเพลิน ๆ ระหว่างถ่ายรูปด้วยนะ
คุณลุงชูชาติ โชว์ลีลาเด็ดให้ดูระหว่างคุย
ขณะที่เรากำลังถ่ายรูปอยู่อย่างเมามันส์ หันไปเจอคุณลุงคนหนึ่ง หนวดเครารุงรัง แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆ มองภายนอกเหมือนคนบ้า กำลังเป่าขลุ่ยเปิดหมวกอยู่ ก็เลยล้วงเหรียญ 10 บาท หย่อนลงบนผ้าที่แกวางไว้ หลังจากวางเหรียญเสร็จคุณลุงก็อวยพรทันที "ขอให้เป็นดอกเตอร์นะ ตอนนี้เรียนชั้นไหนแล้ว" คุณลุงชวนคุยแบบนี้ ก็เลยเข้าไปคุยตีสนิทเลยแล้วกัน ระหว่างที่เราคุยกับคุณลุงอยากออกรสชาติ นักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมาแถวนั้น ก็มองมาที่พวกเราเป็นตาเดียว ก็ทำไงล่ะ ใคร ๆ ก็คิดว่าคุณลุงเป็นคนบ้า แม้แต่คุณลุงเอง ยังบอกเลยว่าแกเป็นคนบ้า ไม่ได้บ้าใบ้นะ แต่เป็นคนบ้าฝัน พร้อมแนะนำตัวว่า ตัวเองชื่อ ชูชาติ พรหมพันธุ์ ในอดีตแกเคยเป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียน หลังจากลาออกจากการเป็น ผอ. แกก็ออกตามฝันด้วยการปั่นจักรยานไปเรื่อย ๆ ต่างประเทศแกก็ปั่นไปถึงมาแล้วนะ
เฟรนด์ชิพไทยประดิษฐ์ฉบับคุณลุงชูชาติ
คุยจบแกก็เอาสมุดเฟรนด์ชิพ มาให้เขียนบรรยายความรู้สึกลงไป วันหลังเราจะเอาเรื่องราวฉบับเต็มของคุณลุงมาเล่าให้ฟังอีกนะ วันนี้ขอมุ่งประเด็นไปที่เรื่องเที่ยวก่อน
หลังจากถ่ายรูปและพูดคุยกับคุณลุงชูชาติจบ เราก็วิ่งรถไปตามถนนเพื่อเข้าที่พัก เราเลือกพักที่นี่ ห้องพักกว้างขวาง สะอาด สะดวกสบายในการเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ของจังหวัด
ที่พักชิลล์
ผ้าเช็ดตัวของที่พัก พันเป็นรูปช้างด้วย
จัดการเก็บข้าวของเข้าที่เรียบร้อย พวกเราก็ออกไปตระเวน อย่าถามว่าที่ไหน เพื่อนพาไปไหน ก็ตามเพื่อนไป สถานที่แรกที่เพื่อนหยุดรถก็คือ พิพิธภัณฑ์พระยาารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี หรือที่เรียกอีกอย่างว่า "จวนเก่าเจ้าเมืองตรัง" ซึ่งท่านผู้ว่าราชการเมืองตรัง บ้านเป็นเรือนไม้ทรงปั้นหยาสีขาว 2 ชั้น บริเวณรอบบ้าน ร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ มีรูปหุ่นขี้ผึ้งและเครื่องมือเครืองใช้ในชีวิตประจำวันครบถ้วน ฝาผนังเป็นไม้ทาสีเขียนอ่อน ชั้นล่างของบ้านมีภาพถ่ายของบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองตรังหลายท่าน มีห้องทำงานของท่านเจ้าเมืองตรัง ส่วนชั้นสองของบ้าน เป็นห้องนอนและห้องรับแขก มีเครื่องเรือนโบราณที่น่าสนใจเพียบเลย
จวนเก่าเจ้าเมืองตรัง
ของใช้ในอดีต
ชั้น 2 ของบ้าน
ห้องนอนบนชั้น 2
ออกจากจวนเก่าเจ้าเมืองตรัง ก็ขับรถต่อไปที่ สวนพฤกษศาสตร์ภาคใต้ (ทุ่งค่าย) เป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ มีสะพานศึกษาเรือนยอดไม้แห่งแรกของประเทศไทยด้วย เมื่อมาถึงเราก็แวะทานข้าวเช้ายามบ่าย ย้ำว่าข้าวเช้า ตรงร้านค้าสวัสดิการของสวน ตอนแรกบอกกับเพื่อนว่ายังไม่หิว แต่เพื่อนแนะนำว่าควรทาน และพกน้ำไปด้วย รับรองว่าคนกลัวความสูง มีเหงื่อตก เดี๋ยวนะ ทำไม ต้องปีนต้นไม้หรือกระโดดลงเขาเหรอ เพื่อนก็ยังไม่ปริปากบอกอะไร จนเดินมาถึง สะพานศึกษาเรือนยอดไม้ แล้วอ่านป้ายก่อนขึ้นสะพาน "สะพานมีความยาว 175 เมตร ความสูง 3 ระดับ ตั้งแต่ 10 – 18 เมตร ประกอบด้วย 5 ช่วงสะพาน และ 6 หอคอย แค่อ่านน้ำตาก็ไหลพรากแล้ว ความกลัวเข้าครอบงำ พร้อมกับอ้าปากบอกเพื่อนอย่างมั่นใจบอกว่า "งั้นเราเจอกันตรงทางออกก็ได้นะ" แล้วประโยคคำตอบจากเพื่อนที่ได้ยินทุกครั้งก็ต้องยอมตายไปกับมันคือ "กับเพื่อนไม่ถึงเหรอ" รวบรวมความกล้าที่มีมาทั้งหมดในชีวิต ก้าวขึ้นบันไดเยี่ยงนักรบ แค่หอคอยแรกก็ขาสั่นพับ ๆ แล้ว กลั้นใจเดินไปเรื่อย ๆ อย่าถามว่ายอดไม้สวยไหม อย่าถามว่าบรรยากาศดีไหม เพราะวางคอตั้งฉากขนานกับพื้นสะพาน มองข้างหน้าอย่างเดียว ซ้ายขวาไม่เกี่ยว
ร้านค้าสวัสดิการ สถานที่ฝากท้องของเรา
ระหว่างทาน ก็โปรยอาหารปลาไปด้วยได้
ขณะเดินทางชมธรรมชาติ จะมีป้ายบอกตลอดทาง รับรองไม่มีหลง
หอคอยแรกก็เหงื่อตกแล้ว ไม่ได้เหนื่อยนะ แต่กลัว
ลงจากสะพานได้ ใช่ว่าจะรอดชีวิตแล้ว เพราะต้องเดินเข้าดงป่าพรุ ซึ่งเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าพรุ ระยะทางกิโลเมตรนิด ๆ แต่ภายใต้กิโลเมตรนิด ๆ นั้น เต็มไปด้วยพันธ์ุไม้ สายน้ำ สัตว์ป่า ฟังดูธรรมชาติสุด ๆ ไหม หลายคนคงคิดว่า ได้ดื่มด่ำธรรมชาติ ถ่ายรูปชิค ๆ ในป่า ซึ่งตอนแรกมันก็เป็นแบบนั้นแหละ ถ้าเราไม่เจอเจ้างูปล้องทองนอนหลับปุ๋ยอยู่ใกล้ ๆ ทางเดิน ตัวมันใหญ่ตัวมันยาว มันดูน่าเกรงขาม แต่เราคงไม่มีสติพอแบบคุณแบร์กิล ที่พร้อมพูดกับทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ว่า "โอ้ แม่สาวน้อย" กว่าจะรวบรวมความกล้าและทำตัวให้เงียบสงบที่สุดขณะเดินผ่านไปได้ เล่นเอาเสื้อเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
และนี่คือรูปสุดท้ายของการอยู่บนสะพานชมยอดไม้
พี่ ๆ ทั้ง 2 คนที่เจอระหว่างกำลังขึ้นสะพานชมยอดไม้ รู้ทีหลังว่า ว่ามาจากหาดใหญ่ด้วย พี่ทั้งสองไม่กลัวความสูง แม้แต่เจองูก็ตาม สติดีสุด ๆ ที่สำคัญยังให้กำลังใจเราตลอดเส้นทางการเดินเลย ขอบคุณค่ะ
ศึกษาธรรมชาติกันเสร็จสรรพ เวลาก็ล่วงเลยจน สี่โมงเย็น เราพาตัวเองไปต่อกันที่ สถานีรถไฟกันตัง เป็นสถานีรถไฟสุดทางของรถไฟสายใต้ฝั่งอันดามัน ในอดีตใช้เป็นที่รับส่งสินค้ากับต่างประเทศ ตัวอาคารเป็นไม้ชั้นเดียวทรงปั้นหยา ทาสีเหลืองมัสตาร์ดสลับน้ำตาล ปัจจุบันประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของจังหวัดตรัง จากกรมศิลปากร บรรยากาศยามเย็นที่นี่ ดีมาก เราเลือกนั่งตรงร้านกาแฟ ถ่ายรูปเล่นกันไปเรื่อย ๆ จนเวลา หกโมงเย็น ก็ขับรถเข้าตัวเมืองกันต่อ เพื่อไปหาของกิน ณ ย่านการค้าสถานีรถไฟตรัง หรือ ถนนคนเดิน ที่นี่มีของกินให้เลือกมากมาย ซื้อแล้วก็เดินกินเรื่อย ๆ เดินออกจากตลาดก็เจอกับร้าน โรตีเมืองตรัง นั่งชมผู้คนในยามค่ำคืน การใช้ชีวิตของคนที่นี่ เพลิน ๆ กินอิ่ม อร่อย ก็เดินทางต่อ สถานีต่อไป ตลาดชินตา
รถไฟเก่า ตอนนี้เป็นห้องสมุดไปแล้ว เก๋มาก ๆ
ร้านกาแฟ ตรงสถานีรถไฟกันตัง
ของเด็ดของตลาด ถนนคนเดิน
รถตุ๊กตุ๊กหัวกบ เสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองตรัง รอรับผู้โดยสารอยู่หน้าตลาด
โรตีเมืองตรัง ร้านอาหารที่คนแน่นมาก ๆ
มีทั้งของคาว
ของหวานขึ้นชื่ออย่างโรตีกรอบ กับนมข้นหวาน
ตลาดชินตา เป็นตลาดกลางคืน บรรยากาศชิลล์ ๆ มีมุมถ่ายรูปให้เลือกมากมาย อาหาร เสื้อผ้า เครื่องประดับ ทุกอย่างดูลงตัว ถ้าไปตรังอีก บอกเลยว่า ปักหมุดที่นี่ ชอบบ
ในตลาดมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมาก ทุกจุดดูแปลกใหม่ แปลกตา
ภาพผนังห้องน้ำยังดูดี
ร้านที่น้ำขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตัดเป็นแก้ว
ลูกโป่งลอยฟ้า กับแม่ค้าชิลล์ ๆ ยืนอ่านการ์ตูนด้วย
ขอบคุณหนึ่งวันสำหรับสถานที่เที่ยวดี ๆ ของเพื่อนที่ไม่ปริปากบอกว่าจะพาไปไหนบ้าง ต้องลุ้นเองว่า มันจะพาไปหน และก่อนนอน เพื่อนก็รับปากว่า พรุ่งนี้ พาไปเที่ยวทะเล อดใจหน่อยนะ สำหรับ คืนนี้ฝันดี ราตรีสวัสดิ์
อย่า อย่าเพิ่งปิด ยังมีอีกวัน วันนี้เป็นวันแห่งความตื่นเต้น เพื่อนบอกว่า วันนี้จะไปต่อกันที่ หาดปากเมง ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรก ๆ ที่ผู้คนมักคิดถึงเมื่อไปเที่ยวจังหวัดตรัง จากนั้นก็ไปต่อกันที่ถ้ำเลเขากอบ ล่องเรือตามน้ำเข้าไปในถ้ำ ดูหินงอกหินย้อย เพื่อนก็บรรยายเป็นฉาก ๆ เลยว่า ต้องแต่งตัวมิดชิด ตอนนั่งเรือนะต้องนอนราบไปกับเรือ แต่ก็ต้องเสี่ยงดวงนะ ถ้าน้ำไม่ลดก็อดเข้าไปจ้า
ติ่มซำ ร้าน ตรัง หมูย่าง
หมูย่างรอทุกคนอยู่
เราเริ่มต้นด้วยการเสริมทัพด้วยของกินขึ้นชื่อของเมืองตรัง หมูย่าง ที่ร้าน ตรังหมูย่าง ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่หมูย่าง แต่บะหมี่ซี่โครงอร่อยมาก ติ่มซำอย่างเด็ด ข้าวหมูแดงกับซุปซี่โครงก็ฟินไม่แพ้อย่างอื่น หนังท้องตึงก็เริ่มเดินทางกันต่อได้
ถึงแล้วมาตรังต้องได้เที่ยวทะเล
ตามป้ายเลยจ้า บ๊าย บาย
เราขับรถออกไปด้วยความมุ่งมั่น ยังหาดปากเมง เพื่อซื้อตั๋วเรือล่องน้ำชมความฟินกลางท้องทะเล แต่ไปถึงไม่มีทัวร์เจ้าไหนเปิดเลย ชาวบ้านแถวนั้นบอกเราว่า เขาปิดเกาะ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว ก็เลยไม่ออกเรือ เราก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายขับรถไปเรื่อย ๆ ถ่ายรูปเล่น
ถึงเวลาไปถ้ำเลเขากอบด้วยความตื่นเต้น จู่ ๆ ฝนก็เทลงมาอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับเสียงโวยวายของพวกเรา เห้ยยยยยยยยย สวรรค์กลั่นแกล้งกันจังเลย จำใจขับรถไปเรื่อย ๆ จนถึง หาดสักหาดหนึ่งจำชื่อไม่ได้ นั่งกินมาม่าเคล้าฝูงลิง จากนั้นก็ขับรถแบบเรื่อย ๆ ดื่มด่ำบรรยากาศความผิดหวังเบา ๆ จนถึงวนอุทยานบ่อน้ำร้อนกันตัง (บ่อน้ำร้อนควนแคง)
ก่อนไปถึงบ่อน้ำร้อนก็คิดกันเล่น ๆ ว่า น่าจะมีคนต้มไข่แน่ ๆ พอไปถึงทางวนอุทยานบ่อน้ำร้อนจะมีไกด์เด็กคอยต้อนรับเป็นอย่างดี คอยแนะนำว่าจะต้องเดินไปทางไหนบ้าง ในใจก็ลุ้นมาก อยากต้มไข่ สรุป เขางดต้มไข่ อดกินไข่ต้มเลย
บ่อน้ำร้อนกันตัง เป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติใต้ผิวดิน นักท่องเที่ยวทั่วไปจะรู้จักเป็นอย่างดี เพราะหากอยากเที่ยวเชิงสุขภาพก็สามารถไปที่นี่ได้ อุณหภูมิของน้ำ ร้อนกำลังดีที่ 70 องศา / 40 องศา / 20 องศา สามารถแช่เท้า ได้สบาย ๆ ทางวนอุทยานฯ จัดห้องอาบน้ำร้อนส่วนตัวให้ด้วย ห้องละ 100 บาทเท่านั้นเอง
บ่อน้ำร้อน มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติด้วยนะ
ระหว่างเดินชมเส้นทางธรรมชาติ เจอชาวต่างชาติที่หลงรักมวยไทย และหลงใหลเมืองหมูย่าง จนต้องลงหลักปักฐานที่จังหวัดตรัง
ขากลับแวะร้านขนมเปี๊ยะซอย 9 แต่ก็นะ ตามภาพเลย
แม้จะผิดหวังกับการไม่ได้ล่องเรือดำน้ำดูปะการัง แต่ระหว่างทางเราเจอผู้คน ความสมบูรณ์ของธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตที่ยังอยู่ร่วมโลกกับเรา ผู้คนที่ยังยิ้มให้กันเสมอ แม้ว่าเป็นการพบเจอเพียงครั้งแรกและไม่รู้จะได้เจอกันอีกไหมในอนาคต และที่สำคัญขอบคุณผู้ร่วมทริป ที่ทำให้รู้สึกสนุก ตื่นเต้นตลอดเวลา แม้ว่าจะพบกับอุปสรรคก็ตาม
จบแล้ว ทริปไปตรังไม่ต้องลงทะเลก็ได้ "ตรังไปได้ ไม่ไกลเลย สวยด้วยนะ"
จบทริป สรุปยอดอยู่ที่ประมาณ 1 พันบาท (ถ้ากินไม่เยอะแบบเรา รับรองเลยว่า 500 - 600 ก็อยู่ได้)
นั่งรถไฟเที่ยวพัทลุง ในงบ 6 ใบแดง มีทอน!
9 ธันวาคม 2567 | 837หาดใหญ่ | เปิดใหม่!! คาเฟ่วิวเขา ฟิลธรรมชาติ "Jirasan FARM & CAFE" จิบแฟ ให้อาหารแพะ
25 กันยายน 2567 | 5,442หาดใหญ่ | เจ้าแม่สายแฟ สายช้อป ห้ามพลาด!! เทศกาลแห่งความสุขได้เริ่มขึ้นแล้ว กับงาน HELLO HATYAI 2024
16 กันยายน 2567 | 6,387สงขลา | เปิดพิกัดจุดเช็คอินใหม่!! Songkhla Flower Farm สวนดอกไม้แห่งแรกในสงขลา
18 ธันวาคม 2566 | 28,649หาดใหญ่ | เปิดพิกัด!! นอนเต็นท์ กินปิ้งย่าง ริมน้ำตก "บ้านสวนเพียรภิรมย์ แคมป์ปิ้ง"
20 พฤศจิกายน 2566 | 21,076หาดใหญ่ | ไดอาน่ามาแล้วสนุก!! รวมพลเซเลปสัตว์เลี้ยงตัวป่วน ถ่ายรูป ป้อนอาหาร ชมฟรีตลอดงาน
14 พฤศจิกายน 2566 | 14,452หาดใหญ่ | แคมป์ปิ้งเปิดใหม่!! "เดอะแคมป์วิลเลจ วังพา" นอนเต๊นท์ กินปิ้งย่าง ฟังเสียงน้ำตก
4 มิถุนายน 2566 | 25,978พัทลุง | แจก 5 พิกัด!! One Day Trip ที่เที่ยวพัทลุงไปเช้าเย็นกลับ
17 พฤษภาคม 2566 | 40,653